อนุปุพพิกถา

   
 


 

 

Home

Kontakt

Wat Nong Waeng Khon Kaen

วันวิสาขบูชา 1

Fest: Vesak

Fest: Vesak 1

วันวิสาขบูชา

ข้าวมุธปายาส1

ตารางรักษาศิล 8

อริยสัจ

meditation 1

ถือศีลอุโบสถ

ขอเชิญ

ขอเชิญ1

Titel der neuen Seite

เส้นทางของการทำให้บริสุทธิ์

รักษามะเร็ง

ถาม

อนุปุพพิกถา

 


     
 

อนุปุพพิกถา 5

ทานกถา   กล่าวถึงทาน
สีลกถา   กล่าวถึงศีล
สัคคกถา   กล่าวถึงสวรรค์
กามาทีนวกถา    กล่าวถึงโทษแห่งกาม
เนกขัมมานิสังสกถา    กล่าวอานิสงส์แห่งการออกจากกาม

                    อนุปุพพิกถานั้น เป็นธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อฟอกอัธยาศัยของบุคคล   ผู้ฟังให้มีความประณีตขึ้นไปโดยลำดับ   ถ้าหากว่าผู้ฟังสามารถที่จะชำระกิเลสของตนให้เบาบางลงได้ ตามที่ทรงแสดงแล้ว ต่อไปก็จะแสดงอริยสัจ ๔ ธรรมะทั้ง ๙ ข้อนี้  จึงเรียกว่า พหุลานุศาสนี  คือพระธรรมที่พระองค์แสดงมากที่สุด เนื่องจากเป็นการค่อย ๆ  ขัดเขลาจิตใจของผู้ฟังไปโดยลำดับ แต่เวลาแสดงจริง ๆ นั้น ไม่จำเป็นแสดงครบหมดทั้ง ๕ ข้อ  ผู้ฟังสามารถจะเรียนรู้ประพฤติปฏิบัติได้ในระดับใด ก็จะทรงแสดงไปในระดับนั้น
                    ประการแรก  ก็จะทรงแสดงประโยชน์ของการให้ เพื่อขจัดความตระหนี่  ความเห็นแก่ตัวของบุคคลให้เจือจางลงไป บังเกิดมีน้ำใจเผื่อแผ่  เอื้อเฟื้อต่อบุคคลอื่นจนถึงกับพร้อมที่จะเสียสละและบริจาคทาน  จากนั้นก็จะทรงแสดงศีล  เพื่อให้บุคคลตระหนักที่จะควบคุมกาย วาจาของตนให้ประพฤติเรียบร้อย ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนและผู้อื่น ไม่ทำตนให้เป็นพิษเป็นภัยต่อหมู่คณะที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ จนถึงพร้อมที่จะยอมรับนับถือบุคคลอื่น และทำตนให้เป็นประโยชน์ เป็นศักดิ์ศรีแก่หมู่คณะ  จากนั้นก็จะแสดงผลดีงามที่เกิดขึ้นจากการให้ทานและการรักษาศีลที่บุคคลจะพึงประสบ  ทั้งในปัจจุบันและในภายภาคหน้า   คือการอุบัติบังเกิดในสวรรค์ และเมื่อบุคคลเห็นชื่นชมเพลิดเพลินกับความสุขในสวรรค์ อัธยาศัยของบุคคลนั้นสามารถที่จะเรียน
                รู้ปฏิบัติสูงขึ้นไปพระองค์ก็จะแสดงถึงโทษแห่งกาม   คือการที่ใจของบุคคลไปกำหนดรูป  เสียง กลิ่น  รส โผฏฐัพพะ น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ วัตถุกามเหล่านั้น  จะเป็นของมนุษย์หรือของทิพย์ก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่เป็นของที่มีโทษ ก่อให้เกิดความหมกมุ่น ยึดติด ผ่อนคลายได้ยากสลัดได้ยาก จิตใจจะกำหนัดเพลิดเพลินอยู่ในอารมณ์เหล่านั้น แต่เมื่อบุคคลมีความเบื่อหน่ายในกามก็จะแสดงเนกขัมมานิสงส์คือ อานิสงส์แห่งการออกจากกาม  นี่เป็นหลักที่ทรงแสดงไปตามลำดับดังนี้.
                เพื่อจะให้ทราบอรรถาธิบายในอนุปุพพิกถา ซึ่งตามปกติแล้ว ในพระไตรปิฎก  จะไม่ให้รายละเอียดไว้โดยตรง เวลาแสดงอนุปุพพิกถาจะบอกแต่ชื่อไว้เท่านั้น รายละเอียดจึงอยู่ในพระสูตรอื่น ๆ ที่แสดงถึงเรื่องของทานหรือเรื่องของศีล โทษแห่งกาม เป็นต้น
                1.ทานกถา กถาว่าด้วยทาน คือการให้  ท่านแสดงว่า  ทานนี้นี้เป็นต้นเค้าแห่งความสุขทั้งหลาย เป็นมูลแห่งสมบัติทั้งหลาย เป็นที่ตั้งแห่งโภคะทั้งปวง เป็นที่ต้านภัย  เป็นคตินำไปข้างหน้าของบุคคลที่ยังประพฤติลุ่ม ๆ ดอน ๆ อยู่ ทานเป็นที่พำนักพักพิงอาศัย  ที่ยึดเหนี่ยวอันเสมอเหมือนทานไม่มีทั้งในโลกนี้และในโลกอื่น ดุจสีหบัลลังก์ อันล้วนแล้วด้วยรัตนะ  เป็นที่พำนักอาศัย ดุจเชือกผูกห้อยไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ทานเป็นดุจทาส  เพราะเป็นเครื่องกั้นทุกข์เป็นดุจเกราะของผู้กล้าหาญในสงคราม เป็นเครื่องทำให้อุ่นใจ  เป็นดุจเมืองที่ตกแต่งไว้ดีแล้วเพราะเป็นที่ป้องกัน  เป็นดุจดอกปทุม เพราะไม่เปื้อนมลทิน   คือความตระหนี่เป็นดุจอสรพิษเพราะความตระหนี่เป็นต้น  ไม่อาจเข้าใกล้ เป็นดุจราชสีห์  สมมติว่าเป็นมงคลยิ่งและเป็นดุจพญาม้าวลาหกเพราะพาให้ถึงภูมิอันเกษม ทานนี้เป็นมรรคาที่เราตถาคตได้ดำเนินมาแล้ว  เป็นเชื้อวงศ์ของเราโดยแท้  เมื่อเราเป็นพระโพธิสัตว์   สร้างบารมีอยู่บำเพ็ญมหายัญเป็นอันมาก ทานนี้ย่อมให้สวรรค์สมบัติจนถึงอภิสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อบุคคลทำทานได้  จึงอาจสมาทานศีลได้ ในขณะเดียวกันก็ทรงแสดงอานิสงส์ของทานอย่างที่ทรงแสดงไว้ในทานานิสงสสูตรว่า
                        1) ผู้ให้ทาน ย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจของชนหมู่มาก
                        2) สัปบุรุษ ผู้สงบ ย่อมคบหาผู้ให้ทาน
                        3) เกียรติคุณของผู้ให้ทาน ย่อมขจรไป
                        4) ผู้ให้ทานย่อมไม่เหินห่างจากธรรมของคฤหัสถ์
                       5) ผู้ให้ทานเมื่อล่วงลับไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  และเมื่อทรงแสดงทานไป ตามสมควรแล้ว อัธยาศัยของบุคคลพร้อมที่จะปฏิบัติธรรมเบื้องสูงขึ้นไปก็จะแสดงในเรื่องศีล
                2.สีลกถา คือกถาที่ว่าด้วยคุณของศีล การรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย  ไม่มีโทษ เช่น ทรงแสดงว่า ชื่อว่าศีลนี้เป็นที่พำนัก เป็นที่อาศัยที่ต้านภัย เป็นที่ยึดเหนี่ยว  ต้านทาน เป็นที่หลบภัย เป็นคติที่เป็นไปในเบื้องหน้า    ศีลเป็นเชื้อวงศ์ของเราตถาคต ได้บำเพ็ญศีลบารมีในภพนั้น ๆ เป็นอเนกอนันต์  ศีลเป็นที่อาศัย   เป็นที่ตั้งแห่งสมบัติทั้งหลาย  ทั้งในโลกนี้และโลกอื่น  ไม่มีที่พำนักอาศัยอื่นเสมอเหมือน เครื่องอลังการก็ดี ดอกไม้ก็ดี เครื่องประทินผิวก็ดีที่เสมอเหมือนเครื่องอลังการคือศีล ดอกไม้คือศีล  เครื่องประทินคือศีล หามีไม่ แท้จริง  ชาวเทวโลกย่อมนิยมบูชาท่านผู้ประกอบด้วยศีลอลังการ ทัดดอกศีลโกสุมลูบไล้ประทินคือศีลเสมอไม่รู้เบื่อ และอย่างที่ทรงแสดงว่า  ศีลเป็นอาภรณ์อย่างประเสริฐ ศีลเป็นอาวุธอย่างยอดเยี่ยม ศีลเป็นเกราะอย่างมหัศจรรย์  ศีลอันเป็นกำลังหาที่เปรียบมิได้  เป็นต้น เมื่อบุคคลอาศัยศีลนี้แล้ว ก็ย่อมจะได้สวรรค์  อย่างที่ทรงแสดงอานิสงส์ของศีลไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า
                            1) ผู้มีศีลย่อมได้โภคสมบัติ
                            2) เกียรติคุณอันงามของผู้มีศีล ย่อมขจรไป
                            3) ผู้มีศีลเมื่อเข้าไปในสมาคมใด ย่อมองอาจ กล้าหาญ  ไม่ครั่นคร้านขามเกรง ไม่เก้อเขินในสมาคมนั้น
                            4) ผู้มีศีล เมื่อจะตาย ก็ไม่หลงตาย คือมีสติตาย หรือตายอย่างมีสติ
                            5) ผู้มีศีล เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
                    ศีลจะประณีตมากน้อยแค่ไหนเพียงไร ย่อมขึ้นอยู่กับว่า ท่านรักษาศีลได้ดี  ได้มากน้อยแค่ไหนเพียงไรเหมือนกัน  เช่น ทรงแสดงคุณของสวรรค์ว่า อันสวรรค์นี้เป็นที่น่าใคร่  น่าพอใจในสวรรค์นั้น มีการเล่นเป็นเนืองนิตย์ สมบัติทั้งหลายก็เกิดมีอยู่แล้วไม่ได้ขาด เหล่าเทพชั้นจาตุมหาราชิกา ได้เสวยทิพยสุขสมบัติอยู่นานถึง ๙ ล้านปี เหล่าเทพชั้นดาวดึงส์เสวยสุขด้วยทิพยสมบัติอยู่นานถึง  ๓  โกฏิ ๖ ล้านปี  และท่านยังได้บอกว่า  ถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะพรรณาสวรรค์สมบัติ ก็เหลือพระโอษฐ์ที่จะพรรณาให้สิ้นสุด ดังพระพุทธดำรัสที่ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจะพึงกล่าวเรื่องสวรรค์ได้โดยอเนกปริยาย มีนัยต่าง ๆ
                3.สัคคกถา คือ สวรรค์ แปลว่า อารมณ์เลิศ ซึ่งอาจหมายถึงสภาพชีวิตของบุคคลที่มีความสุขกายสบายใจ ไม่เดือดร้อนในการเป็นอยู่ หมายถึง การมีคุณธรรมภายในใจของบุคคลผู้นั้น  เช่น มีหิริ มีโอตตัปปะอยู่ภายในใจ ชื่อว่าเป็นเทวดา บางทีก็หมายถึงสภาพจิตที่มีความเพลิดเพลิน สนุกสนานอยู่ในอารมณ์ต่าง ๆ ที่มุ่งหมายจริง ๆ นั้น หมายถึง ปรโลก  คือโลกที่บุคคลจะไปอุบัติบังเกิดด้วยผลแห่งกุศลกรรมที่เขาได้กระทำเอาไว้.
                4.กามาทีนวกถา กถาว่าด้วยโทษแห่งกามทั้งหลาย  เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประโลมใจผู้ฟังด้วยเรื่องสวรรค์ จนเกิดความเพลิดเพลินยินดีสนุกสนานและปรารถนาที่จะเสพสุข ก็ทรงชี้ให้เห็นว่า สวรรค์นั้นเป็นกามสุข แม้จะมีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ หรือเป็นทิพย์ก็ตาม แต่ว่าที่แท้จริงแล้วก็มากไปด้วยเวร มากไปด้วยภัย ทิพยสุขเหล่านั้น ก็มีการแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป แม้สวรรค์เองก็เป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้ยั่งยืน ไม่ควรจะไปหลงนิยมยินดี และทรงชี้ให้เห็นโทษของกามไว้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น  อุปมาเหมือนหัวฝีที่กลัดหนองบ้าง อุปมาเหมือนการถือคบเพลิงทวนลมบ้าง อุปมาเหมือนศีรษะอสรพิษ เมื่อบุคคลเข้าไปเกี่ยวข้องก็ต้องระมัดระวังอันตรายที่เกิดขึ้นแก่ตน  เปรียบเหมือนกับชิ้นเนื้อนาบไฟ   เปรียบเหมือนกับผลไม้ซึ่งเป็นที่ต้องการของสัตว์ทั้งหลายด้วย และก็เปลี่ยนแปลงไปเร็วเป็นต้น
                5.เนกขัมมานิสงส์  คืออานิสงส์แห่งการออกจากกามว่าเป็นที่ปลอดเวรปลอดภัย ยุติเวรภัยด้วยประการต่าง  ๆ มีความสงบมีความโปร่งเบา มีความเป็นอิสระ  ไม่ไปเกี่ยวเกาะผูกพันกับกามคุณทั้งหลายมากเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทรงแสดงประเภทของเนกขัมมะคือการออกซึ่งแปลว่าการออกจากกาม หรือ การออกเพื่อคุณอันใหญ่นั้น คนในโลกนี้ก็มีอยู่  ๔ ประเภทคือ
                        1) กายก็ไม่ออก ใจก็ไม่ออก หมายถึงคนที่มัวเมาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของกามทั้งหลาย
                       2) กายออก แต่ว่าไม่ออก หมายถึงคนที่ออกบวชเป็นนักบวชประเภทใดประเภทหนึ่งแล้ว แต่ว่าใจก็ยังหมกมุ่นวุ่นวายครุ่นคิดอยู่กับเรื่องของกามทั้งหลาย
                       3) ใจออก แต่กายไม่ออก หมายถึงคนที่แท้จะอยู่ในบ้านในเรือน  แต่ว่าจิตใจไม่เกี่ยวเกาะห่วงใยอาลัย โหยหาถึงกาม จิตใจของบุคคลนั้นก็เป็นอิสระจากกามทั้งหลาย กามไม่สามารถจะโยกคลอนสร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นภายในจิตใจของท่านได้   แม้จะอยู่ในบ้านในเรือนก็ตามแต่ว่าจุดประสงค์ในพระพุทธศาสนานั้น ก็เน้นไปที่เป้าหมายสูงสุด
                       4) ออกทั้งทางกายและใจ คือกายตนเองก็ออกไปจากการเกี่ยวเกาะกับวัตถุกามทั้งหลาย จิตใจก็จะไม่หมกมุ่นคิดห่วงใยอาลัยหาอยู่กับวัตถุกามนั้นอีกต่อไป ท่านที่จะออกจากกามได้ทั้งกายและใจเช่นนี้จำต้องอาศัยการปฏิบัติจนเกิดความรู้ความเข้าใจรู้แจ้งเห็นจริงตามหลักของอริยสัจทั้ง ๔ ประการ จากนั้นก็จะทรงแสดงอริยสัจ ๔ ประการเป็นลำดับไป.

« เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2008, 09:14:43 pm »
 

อนุปุพพิกถา ธรรมสำหรับฟอกใจให้เข้าถึงอริยสัจ๔
**********************************
1.เหตุที่ต้องแสดงอนุปุพพิกถา
2.อนุปุพพิกถา เปรียบกับการซักผ้า
3.อนุปุพพิกถา ในพระไตรปิฏก
4.อนุปุพพิกถา ใครแสดง
5.อนุปุพพิกถา นั้นสำคัญมาก
6.อนุปุพพิกถา ในปัจจุบัน
7.สรุปจากใจผู้เขียน
******************************
1.เหตุที่ต้องแสดงอนุปุพพิกถา

หลัง จากที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม[1]แล้วทรงประกาศธรรมเป็นเวลา๔๕ ปี ช่วงเวลานี้พระองค์ต้องประสบกับปัญหาและอุปสรรคมากมาย[2] แต่ก็ทรงแก้ไขปัญหาและอุปสรรคนั้นได้อย่างเรียบร้อย ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงใช้สอนเพื่อพ้นจากทุกข์ นั้นคือ อริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นธรรมขั้นสูง ยากที่บุคคลทั่วไปจะเข้าใจได้ ปัญหานี้เองพระองค์จึงทรงมีวิธีการเตรียมความพร้อมของผู้ฟังให้มีสภาวะจิตใจ ที่ประณีตขึ้น โดยการแสดงธรรมโดยเริ่มจากธรรมที่เข้าใจง่ายๆ เช่น ทาน จนไปถึงธรรมที่มีความลุ่มลึกขึ้นไปตามลำดับ[3] วิธีการแสดงธรรมไปตามลำดับเพื่อเตรียมจิตใจให้ประณีตขึ้นนี้เรียกว่า ?อนุปุพพิกถา? เมื่อบุคคลใดได้ฟังอนุปุพพิกถาแล้ว จิตใจเขาจะเป็นจิตที่สมควรได้รับธรรมขั้นสูงขึ้นไป นั่นคืออริยสัจ๔ เมื่อจิตเข้าถึงอริยสัจ๔ แล้วจิตเกิดดวงตาเห็นธรรม[4] ซึ่งเปรียบเหมือนผ้าขาวสะอาดปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมได้เป็นอย่างดี


2.อนุปุพพิกถา เปรียบกับการซักผ้า

การ เปรียบเทียบขั้นตอนการแสดงอนุปุพพิกถากับขั้นตอนการซักผ้า จะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ขั้นแรกเป็นการโน้มน้าวใจผู้ฟังก่อน เมื่อสนใจแล้วจึงแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ๔ ขั้นแรกนี้เปรียบเหมือนกับต้องแช่ผ้าไว้ก่อนเพราะผ้ามีสิ่งสกปรกติดแน่นอยู่ เปรียบได้ว่า บางครั้งมีบุคคลบางพวกที่มีปัญหา คือยังไม่สนใจที่จะมานั่งฟังธรรมกับพระองค์ ฉะนั้นก่อนที่จะแสดงอนุปุพพิกถา พระองค์จะทรงโน้มน้าวใจ เพื่อสร้างศรัทธาให้อยากฟังธรรมก่อน เพราะบุคคลบางพวกมีสภาวะจิตใจที่ไม่พร้อมจะฟังธรรมจากพระองค์ เช่น ยังสงสัยในคำสอน ยังสงสัยในตัวผู้สอน ยังมีจิตที่เคร้าหมองอยู่ จะเห็นว่าปัญหาแรกที่พระพุทธเจ้าทรงเผชิญก็คือ ผู้ที่พระองค์จะทรงโปรดนั้น ยังไม่สนใจที่จะมานั่งฟังธรรมกับพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงโน้มน้าวใจในรูปแบบต่างๆ ตามความแตกต่างของปัญหาในแต่ละคน และก็ประสบผลสำเร็จเสมอมา คือ พระองค์สามารถสร้างศรัทธาเบื้องต้นให้บุคคลเหล่านั้นหันมาสนใจนั่งฟังธรรม กับพระองค์อย่างตั้งใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าศึกษาว่าพระพุทธเจ้าทรงแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร เพื่อจะได้นำวิธีการนั้น ใช้เป็นแนวทางให้เกิดประโยชน์ในสมัยปัจจุบัน


3.อนุปุพพิกถา ในพระไตรปิฏก

ใน การแสดงอนุปุพพิกถานั้น ในพระไตรปิฏกจะแสดงไว้ว่า เมื่อบุคคลที่พระพุทธเจ้าจะทรงโปรด สนใจเข้ามานั่งใกล้พร้อมที่จะฟังธรรมแล้ว พระองค์จึงทรงแสดง อนุปุพพิกถา อันประกอบด้วย ทานกถา สีลกถา สัคคกถา กามทีนวกถา เนกขัมมานิสัขกถา หลังจากฟังจนจบและเข้าใจแล้ว จิตผู้นั้นจะเป็นจิตที่ประณีตขึ้น เมื่อพระองค์ทราบดังนั้นจึงทรงแสดงอริยสัจ๔ ซึ่งเป็นธรรมขั้นปรมัตถ์ เป็นธรรมเพื่อให้เข้าถึงความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง เมื่อได้ฟังและรู้ธรรมแล้วบางคนก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน บางคนก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ บางคนก็ขอถึงซึ่งพระรัตนตรัย เนื้อหาในพระไตรปิฏกก็มีเพียงแค่นี้ จะสังเกตุว่ารูปแบบและวิธีการแสดงอนุปุพพิกถานั้นไม่ได้แสดงไว้ บอกเพียงว่า อนุปุพพิกถา ประกอบด้วย ทานกถา สีลกถา สัคคกถา กามทีนวกถา เนกขัมมานิสัขกถา เมื่อพิจารณาในแต่ละหัวข้อธรรม เช่น ทานกถา พระพุทธเจ้าจะทรงสอนเรื่องทาน ไว้มากมาย ทำให้ไม่ทราบว่าในขณะที่พระองค์สอนอนุปุพพิกถาในเรื่องทานกถานั้นมีเนื้อหา และลีลาการเทศนาธรรมเป็นอย่างไร สัมพันธ์กับหัวข้อธรรมอื่น คือ สีลกถา สัคคกถา กามทีนวกถา เนกขัมมานิสัขกถา อย่างไร และอนุปุพพิกถาทำไมจะต้องมีหัวข้อธรรม ๕ ข้อ ดังกล่าวด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาและอุปสรรคของการแสดงอนุปุพพิกถาของคนในสมัยปัจจุบัน แต่ก็มีนักปราชญ์ได้อธิบายในหนังสือบรมธรรม ภาคปลาย ของท่านพุทธทาส ว่า ผู้แสดงอนุปุพพิกถา ต้องสามารถทำให้ผู้ฟังเข้าใจชนิดที่เรียกว่า ทำให้เกิดความเห็นแจ้งโดยอาศัย ประสบประการณ์ทางจิตวิญญาณที่มีอยู่ (spiritual experience) จึงจะเข้าใจและพัฒนาจิตใจให้ละเอียดประณีตขึ้นพร้อมที่จะเข้าใจในปรมัตถธรรม คืออริยสัจ๔ ต่อไป


4.อนุปุพพิกถา ใครแสดง

ผู้แสดงอนุ ปุพพิกถานั้นมี ๕ ท่าน คือ พระทีปังกรพุทธเจ้า, พระมังคลพุทธเจ้า, พระวิปัสสีพุทธเจ้า, พระโคตมพุทธเจ้า และพระโมคคัลลานะอรหันต์สาวก อนุปุพพิกถาถูกแสดงครั้งแรก ในสมัยพระทีปังกรพุทธเจ้า ทรงแสดงแก่ยักษ์ชื่อนารทะ พร้อมด้วยยักษ์หนึ่งหมื่น ทั้งหมดตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล นอกจากนี้อนุปุพพิกถายังถูกแสดงในสมัยของพระมังคลพุทธเจ้าทรงแสดงแก่อานันท กุมาร พร้อมทั้งบริษัท ๙๐ โกฏิ จนสำเร็จเป็นพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา๔ หลังจากนั้นในสมัยพระวิปัสสีพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่คู่พระอัครสาวก ชื่อขัณฑะและติสสะ

ใน สมัยพระโคตมพุทธเจ้าพระองค์ทรงแสดง อนุปุพพิกถาบ่อยครั้งมากโดยเฉพาะกับฆราวาสผู้ยังไม่รู้ธรรม นอกจากนั้นพระอรหันตสาวกคือพระโมคคัลลานะ ยังเคยแสดงอนุปุพพิกถากับนางฟ้าบนสวรรค์ด้วย อนุปุพพิกถายังถูกแสดงโดยพระอุปคุต ซึ่งเป็นพระอรหันตสาวกรุ่นหลังๆ

พระ พุทธเจ้าทุกๆพระองค์ และพระอรหันตสาวก ถือว่าเป็นผู้รู้ธรรม และมีปัญญายอดเยี่ยม ย่อมแสดงธรรมได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีข้องสงสัยในธรรม ผู้รับฟังจึงเข้าใจธรรมได้ดี ปัญหาเกี่ยวกับตัวผู้แสดงธรรมจึงไม่มี


5.อนุปุพพิกถา นั้นสำคัญมาก

ธรรมะ คือ ความจริงที่สอนไปตามลำดับโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนให้รู้แจ้งในสัจธรรม แต่การรู้แจ้งในธรรมะนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในทางตรงกันข้ามจะรู้แจ้งธรรมะได้นั้นต้องศึกษาปฎิบัติไปตามลำดับขั้นตอน ดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

?... ธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการบำเพ็ญไปตามลำดับ ไม่ใช่มีการบรรลุอรหัตตผลโดยทันที เหมือนมหาสมุทรต่ำไปโดยลำดับ ลาดไปโดยลำดับ ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่ลึกชัน ดิ่งไปทันที...? [5]


อีกตัวอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงอธิบายขั้นตอนการบรรลุอรหัตตผล ซึ่งต้องมีการศึกษาปฏิบัติไปเป็นลำดับขั้นตอน ดังพุทธพจน์ที่ว่า
? ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวการบรรลุอรหัตตผลด้วยขั้นเดียวเท่านั้น

แต่การบรรลุอรหัตตผล ย่อมมีได้ด้วยการบำเพ็ญสิกขาโดยลำดับ

ด้วยการบำเพ็ญกิริยาโดยลำดับ ด้วยการบำเพ็ญปฏิปทาโดยลำดับ

การบรรลุอรหัตตผล ย่อมมีได้ด้วยการบำเพ็ญสิกขาโดยลำดับ

ด้วย การบำเพ็ญกิริยาโดยลำดับ ด้วยการบำเพ็ญปฏิปทาโดยลำดับ เป็นอย่างไรคือ กุลบุตรในศาสนานี้ เกิดศรัทธาแล้วย่อมเข้าไปหา เมื่อเข้าไปหาย่อมนั่งใกล้ เมื่อนั่งใกล้ย่อมเงี่ยโสตลงสดับ เงี่ยโสตลงสดับแล้วย่อมฟังธรรม ครั้นฟังธรรมแล้วย่อมทรงจำไว้ ย่อมพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำไว้แล้ว เมื่อพิจารณาเนื้อความอยู่ ธรรมทั้งหลายย่อมควรเพ่งพินิจ เมื่อมีการเพ่งพินิจธรรมอยู่ ฉันทะย่อมเกิด กุลบุตรนั้นเกิดฉันทะแล้ว ย่อมอุตสาหะ ครั้นอุตสาหะแล้ว ย่อมไตร่ตรอง ครั้นไตร่ตรองแล้ว ย่อมอุทิศกายและใจ เมื่ออุทิศกายและใจแล้ว ย่อมทำให้แจ้งสัจจะอันยอดเยี่ยมด้วยนามกาย และเห็นแจ่มแจ้งสัจจะอันยอดเยี่ยมนั้นด้วยปัญญา

ภิกษุทั้งหลาย ถ้าศรัทธาไม่มี การเข้าไปหา การนั่งใกล้ การเงี่ยโสตลงสดับการฟังธรรม การทรงจำธรรม การพิจารณาเนื้อความ ความเพ่งพินิจธรรม ฉันทะ อุตสาหะ การไตร่ตรอง และการอุทิศกายและใจก็ไม่มี เธอทั้งหลายเป็นผู้ปฏิบัติพลาด เป็นผู้ปฏิบัติผิด โมฆบุรุษเหล่านี้ได้ก้าวออกไปจากธรรมวินัยนี้ไกลเท่าไร?[6]



จาก พุทธพจน์เบื้องต้น จะเห็นว่าแนวทางการปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำคือการศึกษาและปฏิบัติ ไปตามลำดับขั้นตอน ซึ่งรูปแบบที่เห็นได้ชัดเจนและปรากฏบ่อยๆในพระไตรปิฏกซึ่งการปฏิบัติธรรมที่ ตรงตามแนวทางนี้ก็คือ การศึกษาตามแนวอนุปุพพิกถา ซึ่งมีรูปแบบและวิธีการสอนไปตามลำดับขั้นตอน มีด้วยกัน ๖ ขั้นตอน คือ

ขั้นตอนที่ ๑ พรรณาถึงเรื่องทาน (ทานกถา

ขั้นตอนที่ ๒ พรรณาถึงเรื่องศีล (สีลกถา

ขั้นตอนที่ ๓ พรรณาถึงเรื่องสวรรค์ (สัคคกถา

ขั้นตอนที่๔ พรรณาถึงเรื่องโทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองแห่งกาม(กามาทีนวกถา

ขั้นตอนที่๕ พรรณาถึงเรื่องอานิสงส์แห่งการออกจากกาม (เนกขัมมานิสังสกถา

ขั้นตอนที่ ๖ ประกาศสามุกกังสิกธรรมเทศ หรือ อริยสัจ ๔(จะแสดงก็ต่อเมื่อผู้ฟังมีจิตควรรับฟังอริยสัจ ๔ เท่านั้น


6.อนุปุพพิกถา ในปัจจุบัน

ปัจจุบัน การเทศนาธรรมของพระสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามแนวอนุปุพพิกถา กล่าวคือ ผู้เทศนา(ธรรมกถึก เทศนาตามใจผู้ฟัง บ้างก็แสดงธรรมขั้นสูงเกินไปจนทำให้ผู้ฟังส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ บ้างก็แสดงธรรมขั้นพื้นฐานอย่างเดียวโดยไม่พัฒนาให้สูงขึ้นตามลำดับ จากปัญหาเหล่านี้อาจเป็นไปได้ว่า การที่คนในสมัยปัจจุบัน ไม่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนได้ก็เพราะเหตุที่ว่าส่วนหนึ่งไม่ได้ฟังธรรม ตามลำดับขั้น การเทศนาธรรมของนักเทศน์ในปัจจุบัน ถึงแม้ถึงแม้ผู้เทศน์จะไม่มีคุณสมบัติเหมือนพระพุทธองค์ก็ตาม แต่ก็ควรที่จะยึดแนวทางตามพุทธวิธี หรือรูปแบบการเทศนาธรรมอนุปุพพิกถาที่พระพุทธองค์แสดงไว้เป็นแบบอย่าง ปัจจุบันการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจำเป็นจะต้องมีการประยุกต์ปรับเปลี่ยนให้สอด คล้องกับสถานการณ์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำผิดเพี้ยนไปจากหลักการในพระพุทธศาสนาดั้งเดิมมาก จนเกินไป ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาถึงหลักการต่างๆ ที่ใช้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในครั้งพุทธกาล เพื่อเป็นแนวทางในการประยุกต์ใช้ในสังคมปัจจุบัน

7.สรุปจากใจผู้เขียน

อนุ ปุพพิกถาเป็นธรรมที่สำคัญมากจริงๆ นะครับ ผมหวังว่าบทความนี้จะกระตุ้นเตือนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการพระพุทธศาสนา ได้นำอนุปุพพิกถามาใช้เป็นแนวทางตามแบบอย่างของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์แก่ผู้รับฟังส่วนมาก ซึ่งจะมีผลให้พระพุทธศาสนาของเรามีความมั่นคงสืบต่อไป ครับ

๑๓ พ.ค.๒๕๕๐ อภิชาติ พรสี่

http://www.palungjit.com/club/apichartp4/

**********************************

[1] ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ มี ๒ นัย คือ หลักอิทัปปัจจยตา และหลักปฏิจจสมุปบาท ตรัสในช่วงหลังตรัสรู้ใหม่ๆ (วิ.ม.(ไทย ๔/๗/๑๑ พรหมยาจนกถา, ส่วนอีกนัยหนึ่งคือ อริยสัจ๔ ตรัสในช่วงโปรดปัญจ-วัคคีย์ ( วิ.ม.(ไทย ๔/๑๖/๒๓-๒๔ ปัญจวัคคิยกถา, ทั้งสองนัยโดยสาระแล้วเป็นอันเดียวกัน ปฏิจจสมุปบาทและนิพพานเป็นแต่ตัวธรรมล้วนๆตามธรรมชาติ ส่วนอริยสัจ๔ เป็นหลักธรรมในรูปที่มนุษย์จะเข้าไปเกี่ยวข้อง(พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุ ตฺโต,พุทธธรรม,หน้า ๙๐๑.)

[2] ปัญหาที่ทรงประสบ เช่นปัญหาเรื่องความเชื่อเดิมๆ เพราะสังคมอินเดียทั้งก่อนและในสมัยพระพุทธเจ้า คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพราหมณ์ มีสำนักที่เด่นๆ ๖ สำนัก ซึ่งเจ้าสำนักล้วนมีอายุมากกว่าพระพุทธเจ้า จึงไม่ยอมรับคำสอนของพระพุทธเจ้าและมองว่าเป็นคู่แข่งกับตน (ที.สี.(ไทย๙/๑๕๐/๖๐ สามัญญผลสูตร, เจ้าสำนักทั้ง ๖ ได้แก่ ๑.ปูรณะ กัสสปะ, ๒.มักขลิ โคสาล, ๓.อชิตะ เกสกัมพล,๔.ปกุธะ กัจจายนะ, ๕.สัญชัย เวลัฏฐบุตร, ๖.นิครนถ์ นาฏบุตร (ม.ม.(ไทย๑๒/๓๑๒/๓๔๙ จูฬสาโรปมสูตร

[3] ดังพุทธพจน์ที่ว่า ?ธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการบำเพ็ญไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ ไม่ใช่มีการบรรลุอรหัตตผลโดยทันที? องฺ.อฎฺฐก.(ไทย ๒๓/๑๙/๒๔๘ ปหาราทสูตร

[4] เมื่อยสกุลบุตร ได้ฟังอนุปุพพิกถาและอริยสัจ๔ จบลง เกิดดวงตาเห็นธรรมว่า ?สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา? เป็นการเห็นธรรมของพระโสดาบัน เมื่อยสกุบุตรได้ฟังธรรมครั้งที่ ๒ จิตหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น สำเร็จเป็นพระอรหันต์ (วิ.ม.(ไทย ๔/๒๕/๓๑ ปัพพัชชากถา


 

 
 

Heute waren schon 5 Besucher (6 Hits) hier!

 

 
Diese Webseite wurde kostenlos mit Homepage-Baukasten.de erstellt. Willst du auch eine eigene Webseite?
Gratis anmelden